ดาวอินคา เป็นพืชวงศ์ Euphorbiaceae เช่นเดียวกับ ยางพารา สบู่ดำ หรือมันสำปะหลัง ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Plukenetia volubilis L. มีชื่อ สามัญว่า sacha inchi, sacha peanut, mountain peanut, supua หรือ Inca peanut เป็นพืชอายุหลายปี เป็นพืชเฉพาะถิ่นในป่าอะเมซอน แถบประเทศเปรู พืชในสกุลนี้มีพบในประเทศไทยอยู่ 1 ชนิด คือ Plukenetia corniculata Sm. ส่วนชื่อไทยและการใช้ประโยชน์นั้นยังไม่มีข้อมูล
ดาวอินคา เป็นไม้เลื้อยอายุหลายปี มีอายุได้นาน 10 ถึง 50 ปี ลำต้นสูง 2 เมตร กิ่งและยอดแผ่เลื้อยพันตามกิ่งไม้หรือโครงสร้างไม้เลื้อยพันอื่นๆ
ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปหัวใจ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบตรงถึงรูปหัวใจ ขอบใบจักฟันเลื่อย ใบยาว 10 – 12 ซม. กว้าง 8 – 10 ซม. ก้านใบยาว 2 – 6 ซม.
ดอก เริ่มออกดอกเมื่ออายุ 5 เดือนหลังจากปลูก และติดเมล็ดเมื่ออายุ 8 เดือน ดอกช่อแบบช่อกระจะ (raceme) ดอกแยกเพศอยู่บนต้น เดียวกัน ดอกเพศผู้ขนาดเล็ก สีขาว เรียงเป็นกระจุกตลอดความยาวช่อ ดอกเพศเมีย 2 ดอก อยู่ที่โคนช่อดอก
ผลแบบแคปซูล เส้นผ่าศูนย์กลาง 3 – 5 ซม. มี 4 – 7 แฉก ผลอ่อนสีเขียว และสีจะเข้มขึ้นตามอายุ ผลแก่มีสีน้ำตาลดำ มีเนื้อนุ่มๆ สีดำ หุ้มอยู่ซึ่งกินไม่ได้ โดยปรกติจะทิ้งให้แห้งคาต้นก่อนเก็บเกี่ยว เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วนำมาตากแดดอีก 1 วัน จึงนำผลผลิตไปจำหน่าย
การปลูก
ขยายพันธุ์โดยเมล็ด โดยการนำเมล็ดที่แก่แล้วมาเพาะในถุงดำ เมื่อต้นสูงประมาณ 30 ซม. จึงย้ายปลูก หรือหยอดเมล็ดในหลุมปลูกเลย ก็ได้ ระยะปลูก 2 x 3 ถึง 2 x 4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกได้ 200 – 300 ต้น เป็นพืชที่ไม่ชอบน้ำขังแฉะ ในพื้นที่ต่ำควรยกร่อง ทำค้างสำหรับให้ ต้นเลื้อยพัน โดยใช้วัสดุในพื้นที่ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมักใช้ท่อพีวีซีเป็นเสาหลักแล้วใช้สายโทรศัพท์เก่าขึงระหว่างเสาเป็นค้างสำหรับให้ยอด เลื้อยพัน โรคแมลงยังรบกวนน้อย ปุ๋ยที่ใช้ควรเป็นปุ๋ยอินทรีย์ โดยทั่วไปดาวอินคาสามารถให้ผลผลิต 600 – 800 กิโลกรัมต่อไร่ และให้ผลผลิต ยาวนาน 15 – 50 ปี
ทุกส่วนของต้นดาวอินคาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ยอดและใบอ่อน สามารถนำไปประกอบอาหารได้ เช่น นำไปผัด
ใบของต้นดาวอินคา โดยเฉพาะใบที่ยังไม่แก่มากนำมาหั่นแล้วผึ่งแดด 1 – 2 แดด นำไปต้มดื่มเป็นน้ำชา สามารถลดน้ำตาล และไขมันใน เส้นเลือด หรือนำไปสกัดเป็นน้ำคลอโรฟิลล์ ผลอ่อน นำไปประกอบอาหาร เช่น ฝานเป็นชิ้นบางๆ แล้วนำไปผัดกับยอดและใบเช่นเดียวกับผัดผักบุ้งไฟแดง หรือนำไปทำแกงเลียงก็ได้
น้ำมันจากเมล็ดดาวอินคา มีทั้งรูปแบบที่บรรจุแคปซูล และบรรจุขวด เป็นน้ำมันประกอบอาหาร ทำน้ำสลัด ทำผลิตภัณฑ์เสริมความงามและ อาหารเสริมเช่น โฟมล้างหน้า สบู่ ครีมบำรุงผิว โลชั่น กากเมล็ดและเปลือก นำไปทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ หรือเชื้อเพลิงอัดแท่ง
สถานะดาวอินคาในประเทศไทย
ได้มีบริษัทเอกชนนำดาวอินคาเข้ามาส่งเสริมการปลูกเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเริ่มที่จังหวัดหนองคาย เนื่องจากเห็นว่ามีที่ตั้ง ภูมิศาสตร์ เส้นทางคมนาคมที่เหมาะสม และสามารถเชื่อมโยงไปสู่กลุ่มประเทศอินโดจีนได้ บริษัทได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกโดยการแจกเมล็ดพันธุ์ให้ฟรี แล้วรับซื้อผลผลิตในราคาประกัน ซึ่งทำให้เกษตรกรมีรายได้ระยะยาว เพราะดาวอินคาสามารถเก็บผลผลิตได้หลังจากปลูกเพียง 7 เดือนจนถึง 40 - 50 ปี หากมีการดูแลที่เหมาะสม โดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี
จากการศึกษาของนักวิชาการมหาวิทยาลัยแม่โจ้ พบว่าหลังจากปลูกเพียง 1 ปี ดาวอินคาสามารถเจริญเติบโตได้ดี จึงได้นำไปส่งเสริม ให้กับเกษตรกรในหลายพื้นที่ปลูก เช่น จังหวัดเชียงใหม่ พะเยา เชียงราย ลำปาง กำแพงเพชร เป็นต้น สำหรับในภาคอื่นๆ พบว่ามีหลายจังหวัด ที่มีการปลูกดาวอินคา เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบปลูกในจังหวัดขอนแก่น ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ ภาคกลาง พบปลูกในจังหวัดสุพรรณบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี และภาคตะวันออก พบปลูกในจังหวัดปราจีนบุรี และสระแก้ว เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรนำไปปลูกมากกว่า 10,000 ไร่แล้ว
ต.บึงยี่โถ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 12310
Tel: 02 - 957 - 9954 ,
มือถือ : 089-496-8695
Line :pensionfunds
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น